ประเภทความผิด การวิเคราะห์เพื่อจำแนกประเภทความผิดอาจจะทำได้หลายทาง คือ
- การแยกประเภทความผิดในแง่การกระทำ
(ข) ความผิดโดยการละเว้นกระทำ หมายถึง ความผิดอันเกิดขึ้นจากการไม่ปฏิบัติอย่างใดอย่างหนึ่ง ซึ่งไม่เกี่ยวกับการงดเว้น
- การแยกประเภทความผิดในแง่กฎหมาย
- การแยกประเภทความผิดที่ต้องมีผลปรากฏ และความผิดที่ไม่ต้องมีผลปรากฏ
- การแยกประเภทความผิดเป็นความผิดธรรมดากับความผิดซ้ำซ้อน
- การแยกประเภทความผิดในแง่เจตนา ซึ่งได้แก่ ความผิดที่กระทำโดยประมาทความผิดที่กระทำโดยเจตนา ความผิดที่ไม่ต้องมีเจตนา ความผิดชนิดนี้ต้องรับผิดชอบในผลสุดท้ายแห่งเจตนา
- การกระทำต้องครบองค์ประกอบความผิดที่กฎหมายบัญญัติไว้
- การกระทำนั้นไม่มีกฎหมายยกเว้นความผิด
- การกระทำนั้นไม่มีกฎหมายยกเว้นโทษ
ประการแรก จะต้องมีการกระทำ
ประการที่สอง การกระทำครบองค์ประกอบภายนอก
ประการที่สาม การกระทำครบองค์ประกอบภายใน
ประการที่สี่ ผลของการกระทำต้องสัมพันธ์กับการกระทำ
ความหมายของการกระทำ การกระทำคือการเคลื่อนไหวร่างกายหรือไม่เคลื่อนไหวร่างกาย โดยรู้สำนึก องค์ประกอบที่ 2 การกระทำไม่มีกฎหมายยกเว้นความผิด องค์ประกอบที่ 3 การกระทำไม่มีกฎหมายยกเว้นโทษ
สรุปหลักทั่วไป บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทำครบองค์ประกอบความผิดตามกฎหมายบัญญัติและจะต้องไม่มีกฎหมายบัญญัติยกเว้นความผิดหรือยกเว้นโทษ
การกระทำโดยเจตนา การกระทำจะมีความผิดอาญาก็ต่อเมื่อผู้กระทำผิดมีเจตนากระทำผิด เว้นแต่ความผิดฐานประมาท ซึ่งมีเจตนาไม่ได้ และความผิดอื่นไม่มีเจตนากฎหมายก็บัญญัติว่าเป็นความผิด
การกระทำโดยประมาท การกระทำโดยประมาท เป็นข้อยกเว้นอันหนึ่งของความผิดอาญาที่ไม่ต้องมีเจตนาจะเป็นการกระทำโดยประมาท ต้องมีหลักเกณฑ์ดังนี้
(1) เป็นการกระทำความผิดมิใช่เจตนา
(2) ได้กระทำโดยปราศจากความระมัดระวัง ซึ่งบุคคลในภาวะเช่นนั้นจักต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์ (3) ผู้กระทำอาจใช้ความระมัดระวังเช่นว่านั้นได้ แต่หาได้ใช้ให้เพียงพอไม่
ความผิดที่ไม่ต้องมีเจตนา ตามมาตรา 59 วรรคแรก บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทำโดยเจตนา...เว้นแต่กรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยแจ้งชัดให้ต้องรับผิดแม้ได้กระทำโดยไม่มีเจตนาความสำคัญผิด
1) ความสำคัญผิดในข้อเท็จจริง หรือการไม่รู้ข้อเท็จจริง สามารถแก้ตัวได้เป็นบางกรณี
2) สำคัญผิดในข้อกฎหมาย ผลของการสำคัญผิดตามมาตรา 62 วรรคแรก
- ไม่มีความผิด
- มีความผิดแต่ได้รับการยกเว้นโทษ
- มีความผิดแต่ได้รับโทษน้อยลง
- เจตนาที่จะกระทำต่อบุคคลหนึ่ง
- แต่ผลของการกระทำเกิดแก่อีกบุคคลหนึ่งโดยพลาดไป
- ให้ถือว่าผู้นั้นกระทำโดยเจตนาแก่บุคคลซึ่งได้รับผลร้ายจากการกระทำนั้น
- ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ลงโทษหนักขึ้น
(ข) เพราะความสัมพันธ์ระหว่างผู้กระทำกับบุคคลที่ได้รับผลร้าย มิให้นำกฎหมายนั้นมาใช้บังคับเพื่อลงโทษผู้กระทำให้หนักขึ้น
การกระทำโดยพลาดจะต้องประกอบด้วยบุคคล 3 ฝ่าย
- ฝ่ายซึ่งเป็นผู้กระทำ
- ฝ่ายซึ่งเป็นผู้ถูกกระทำคนแรกโดยมีเจตนากระทำต่อ
- ฝ่ายซึ่งได้รับผลร้ายจากการกระทำโดยพลาดและกฎหมายให้ถือว่าผู้กระทำมีเจตนากระทำต่อผู้ได้รับผลร้ายนี้
ตัวอย่าง - นายขาวเห็นนายแดงกำลังจะจมน้ำแต่ไม่ช่วยทั้ง ๆ นายขาวก็ว่ายน้ำเป็นแต่ยืนมองดูเฉย ๆ นายขาวมีความผิดหรือไม่
ตอบ - นายขาวเห็นนายแดงกำลังจะจมน้ำแต่ไม่ช่วยทั้ง ๆ นายขาวก็ว่ายน้ำเป็นแต่ยืนมองดูเฉย ๆ นายขาวมีความผิดโดยการละเว้นการกระทำ เห็นผู้อื่นตกอยู่ในอันตรายถึงชีวิตแต่ไม่ช่วยมีความผิดตามมาตรา 374
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น