วันศุกร์ที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2555
บทที่ 5 - การเริ่มต้นความผิด
การกระทำจะบรรลุผลเป็นความผิดสำเร็จขึ้นเมื่อใด สามารถทราบได้โดยพิจารณาตามบทบัญญัติของกฎหมายที่กำหนดหลักเกณฑ์แห่งความผิดนั้นไว้ เมื่อบุคคลได้กระทำการตามที่กฎหมายบัญญัติเป็นความผิดครบถ้วน ก็ถือได้ว่าความผิดได้เกิดขึ้นสำเร็จ การเริ่มต้นกระทำความผิด เริ่มจาก
1. เจตนา เจตนานั้นย่อมมีความสำคัญในกฎหมาย แล้วแต่ว่าการกระทำที่เป็นการแสดงเจตนานั้นมีผลปรากฏมามากน้อยเพียงใด
2. ตระเตรียม คือผู้กระทำได้ตระเตรียมการเพื่อการทำความผิด แต่ยังไม่ใช่ลงมือกระทำความผิด การตระเตรียมนี้โดยปกติยังไม่ถือว่าเป็นการเริ่มต้นกระทำความผิดในฐานที่เจตนาจะกระทำ
3. พยายาม กระทำความผิดมีบัญญัติอยู่ในประมวลกฎหมายอาญามาตรา 80, 81, 82 จากบทบัญญัติทั้ง 3 มาตรานี้ แยกพิจารณาออกได้เป็น 4 ประการ(1) พยายามกระทำความผิดธรรมดา
(2) พยายามกระทำผิด ซึ่งการกระทำนั้นไม่สามารถบรรลุผลได้อย่างแน่แท้
(3) พยายามกระทำผิดด้วยความเชื่ออย่างงมงาย
(4) ยับยั้งการกระทำความผิด 1 พยายามกระทำความผิดธรรมดา มีบัญญัติไว้ในมาตรา 80 มีหลักเกณฑ์ คือ
(1) ผู้กระทำจะต้องมีเจตนากระทำความผิด
(2) ผู้กระทำต้องลงมือกระทำความผิดแล้ว
(3) ผู้กระทำกระทำไปไม่ตลอด หรือกระทำไปตลอดแล้วแต่การกระทำนั้นไม่บรรลุผลข้อสังเกต ความผิดที่กระทำโดยประมาทหรือไม่ต้องการเจตนา ไม่มีพยายาม
2. พยายามกระทำความผิด ซึ่งการกระทำนั้นไม่สามารถบรรลุผลได้อย่างแน่แท้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 81 มีหลักเกณฑ์ดังนี้
(1) กระทำการ
(2) โดยมุ่งต่อผลซึ่งกฎหมายบัญญัติเป็นความผิด (3) การกระทำไม่สามารถบรรลุผลได้อย่างแน่แท้เพราะ (ก) เหตุปัจจัยซึ่งใช้ในการกระทำ หรือ(ข) เหตุแห่งวัตถุที่มุ่งหมายกระทำต่อ
3. พยายามกระทำความผิดด้วยเชื่ออย่างงมงาย มาตรา 81 วรรคท้าย "ถ้าการกระทำดังกล่าวในวรรคแรกได้กระทำไปโดยความเชื่ออย่างงมงายศาลจะไม่ลงโทษก็ได้" การกระทำที่เชื่ออย่างงมงาย เช่น ใช้มนต์คาถาพยายามฆ่าคนเสกเป่าให้เขาเป็นบ้าหรือให้ตาย ทำหุ่นขึ้นเสกเป่าด้วยเวทมนต์ให้หุ่นไปฆ่าคนนั้นเพื่อให้เขาตาย
4. ยับยั้งการกระทำผิด ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 82 แยกพิจารณาออกเป็น 3 กรณี คือ
(1) การยับยั้งจะต้องกระทำระหว่างที่การกระทำเข้าขั้นพยายาม ตามมาตรา 80 แล้วจนกระทั่งถึงเวลาก่อนที่การกระทำเป็นความผิดสำเร็จ ถ้าการกระทำยังไม่เข้าขั้นพยายามเป็นแต่อยู่ในขั้นตระเตรียมการถึงจะมีการยับยั้งก็ไม่มีผลอย่างไร เพราะในขั้นตระเตรียมไม่ถือว่าลงมือกระทำ เมื่อไม่มีพยายามกระทำความผิดแล้วก็ไม่มีการยับยั้ง
(2) หลักเกณฑ์การยับยั้งพยายามกระทำความผิด ได้แก่(ก) ยับยั้งเสียงเองไม่กระทำการให้ตลอด หมายความว่าได้ลงมือกระทำความผิดแล้ว แต่กระทำไปไม่ตลอด เพราะผู้กระทำยับยั้งเสียเองโดยสมัครใจ ไม่ว่าการยับยั้งนั่นจะเกิดโดยเหตุภายในตัวผู้กระทำเองหรือเพราะเหตุภายนอกทำให้ยับยั้งโดยสมัครในไม่กระทำการให้ตลอด ไม่ใช่มีอุปสรรคมาขัดขวาง เช่น พิพากษาศาลฎีกาที่ 230/2502 จำเลยกับพวกขู่เอาเงินผู้เสียหาย ผู้เสียหายคนหนึ่งร้องทักขึ้นเพราะรู้จักจำเลย จำเลยจึงร้องว่าหยุดเว้ยพวกเดียวกัน แล้วก็จากไป เป็นการยับยั้งเสียเองแก้ไขไม่ให้การกระทำนั้นบรรลุผลตามมาตรา 82 เป็นการพยายามกระทำความผิดที่เกิดขึ้นแล้ว เพียงแต่กฎหมายไม่เอาโทษ แต่เนื่องจากจำเลยกระทำการยิงเจ้าพนักงานไม่สำเร็จเพราะตำรวจเข้าขัดขวาง โทษของจำเลยในการพยายามกระทำความผิดยังคงมีอยู่ (ข) กลับใจแก้ไขไม่ให้การกระทำนั้นบรรลุผล หมายความว่าการกระทำนั้นได้ลงมือกระทำไปตลอดแล้ว แต่ไม่บรรลุผล เพราะแทนที่จะกระทำตามความประสงค์กลับแก้ไขให้เป็นอย่างอื่น เช่น คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1218/2530 จำเลยหลอกผู้เสียหายไปที่บ้าน แล้วพาไปนอนบนกระดาน ถอดกางเกงผู้เสียหายและจำเลยออก แล้วจำเลยใช้อวัยวะเพศดันไปตรงอวัยวะเพศของผู้เสียหายเพียงครั้งเดียว โดยอวัยวะเพศของผู้เสียหายไม่มีบาดแผล จำเลยไม่ได้กระทำซ้ำต่อไปจนสำเร็จความใคร่ ทั้งๆที่จำเลยมีโอกาส นับได้ว่าเป็นการยับยั้งเสียเองไม่กระทำไปให้ตลอดสำเร็จขึ้นเมื่อใด สามารถทราบได้โดยพิจารณาตามบทบัญญัติของกฎหมายที่กำหนดหลักเกณฑ์แห่งความผิดนั้นไว้ เมื่อบุคคลได้กระทำการตามที่กฎหมายบัญญัติเป็นความผิดครบถ้วน ก็ถือได้ว่าความผิดได้เกิดขึ้นสำเร็จ การเริ่มต้นกระทำความผิด เริ่มจาก
1. เจตนา เจตนานั้นย่อมมีความสำคัญในกฎหมาย แล้วแต่ว่าการกระทำที่เป็นการแสดงเจตนานั้นมีผลปรากฏมามากน้อยเพียงใด
2. ตระเตรียม คือผู้กระทำได้ตระเตรียมการเพื่อการทำความผิด แต่ยังไม่ใช่ลงมือกระทำความผิด การตระเตรียมนี้โดยปกติยังไม่ถือว่าเป็นการเริ่มต้นกระทำความผิดในฐานที่เจตนาจะกระทำ3. พยายาม กระทำความผิดมีบัญญัติอยู่ในประมวลกฎหมายอาญามาตรา 80, 81, 82 จากบทบัญญัติทั้ง 3 มาตรานี้ แยกพิจารณาออกได้เป็น 4 ประการ
(1) พยายามกระทำความผิดธรรมดา
(2) พยายามกระทำผิด ซึ่งการกระทำนั้นไม่สามารถบรรลุผลได้อย่างแน่แท้
(3) พยายามกระทำผิดด้วยความเชื่ออย่างงมงาย
(4) ยับยั้งการกระทำความผิด
พยายามกระทำความผิดธรรมดามีบัญญัติไว้ในมาตรา 80 มี หลักเกณฑ์ คือ
(1) ผู้กระทำจะต้องมีเจตนากระทำความผิด
(2) ผู้กระทำต้องลงมือกระทำความผิดแล้ว
(3) ผู้กระทำกระทำไปไม่ตลอด หรือกระทำไปตลอดแล้วแต่การกระทำนั้นไม่บรรลุผลข้อสังเกต ความผิดที่กระทำโดยประมาทหรือไม่ต้องการเจตนา ไม่มีพยายาม
2. พยายามกระทำความผิด ซึ่งการกระทำนั้นไม่สามารถบรรลุผลได้อย่างแน่แท้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 81 มีหลักเกณฑ์ดังนี้ (1) กระทำการ
(2) โดยมุ่งต่อผลซึ่งกฎหมายบัญญัติเป็นความผิด
(3) การกระทำไม่สามารถบรรลุผลได้อย่างแน่แท้เพราะ
(ก) เหตุปัจจัยซึ่งใช้ในการกระทำ หรือ(ข) เหตุแห่งวัตถุที่มุ่งหมายกระทำต่อ
3. พยายามกระทำความผิดด้วยเชื่ออย่างงมงาย มาตรา 81 วรรคท้าย "ถ้าการกระทำดังกล่าวในวรรคแรกได้กระทำไปโดยความเชื่ออย่างงมงายศาลจะไม่ลงโทษก็ได้" การกระทำที่เชื่ออย่างงมงาย เช่น ใช้มนต์คาถาพยายามฆ่าคนเสกเป่าให้เขาเป็นบ้าหรือให้ตาย ทำหุ่นขึ้นเสกเป่าด้วยเวทมนต์ให้หุ่นไปฆ่าคนนั้นเพื่อให้เขาตาย
4. ยับยั้งการกระทำผิด ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 82 แยกพิจารณาออกเป็น 3 กรณี คือ
(1) การยับยั้งจะต้องกระทำระหว่างที่การกระทำเข้าขั้นพยายาม ตามมาตรา 80 แล้วจนกระทั่งถึงเวลาก่อนที่การกระทำเป็นความผิดสำเร็จ ถ้าการกระทำยังไม่เข้าขั้นพยายามเป็นแต่อยู่ในขั้นตระเตรียมการถึงจะมีการยับยั้งก็ไม่มีผลอย่างไร เพราะในขั้นตระเตรียมไม่ถือว่าลงมือกระทำ เมื่อไม่มีพยายามกระทำความผิดแล้วก็ไม่มีการยับยั้ง
(2) หลักเกณฑ์การยับยั้งพยายามกระทำความผิด ได้แก่
(ก) ยับยั้งเสียงเองไม่กระทำการให้ตลอด หมายความว่าได้ลงมือกระทำความผิดแล้ว แต่กระทำไปไม่ตลอด เพราะผู้กระทำยับยั้งเสียเองโดยสมัครใจ ไม่ว่าการยับยั้งนั่นจะเกิดโดยเหตุภายในตัวผู้กระทำเองหรือเพราะเหตุภายนอกทำให้ยับยั้งโดยสมัครในไม่กระทำการให้ตลอด ไม่ใช่มีอุปสรรคมาขัดขวาง เช่น พิพากษาศาลฎีกาที่ 230/2502 จำเลยกับพวกขู่เอาเงินผู้เสียหาย ผู้เสียหายคนหนึ่งร้องทักขึ้นเพราะรู้จักจำเลย จำเลยจึงร้องว่าหยุดเว้ยพวกเดียวกัน แล้วก็จากไป เป็นการยับยั้งเสียเองแก้ไขไม่ให้การกระทำนั้นบรรลุผลตามมาตรา 82 เป็นการพยายามกระทำความผิดที่เกิดขึ้นแล้ว เพียงแต่กฎหมายไม่เอาโทษ แต่เนื่องจากจำเลยกระทำการยิงเจ้าพนักงานไม่สำเร็จเพราะตำรวจเข้าขัดขวาง โทษของจำเลยในการพยายามกระทำความผิดยังคงมีอยู่
(ข) กลับใจแก้ไขไม่ให้การกระทำนั้นบรรลุผล หมายความว่าการกระทำนั้นได้ลงมือกระทำไปตลอดแล้ว แต่ไม่บรรลุผล เพราะแทนที่จะกระทำตามความประสงค์กลับแก้ไขให้เป็นอย่างอื่น เช่น คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1218/2530 จำเลยหลอกผู้เสียหายไปที่บ้าน แล้วพาไปนอนบนกระดาน ถอดกางเกงผู้เสียหายและจำเลยออก แล้วจำเลยใช้อวัยวะเพศดันไปตรงอวัยวะเพศของผู้เสียหายเพียงครั้งเดียว โดยอวัยวะเพศของผู้เสียหายไม่มีบาดแผล จำเลยไม่ได้กระทำซ้ำต่อไปจนสำเร็จความใคร่ ทั้ง ๆ ที่จำเลยมีโอกาส นับได้ว่าเป็นการยับยั้งเสียเองไม่กระทำไปให้ตลอด
ป้ายกำกับ:
กฏหมายอาญา,
การเริ่มต้นความผิด,
สรุป
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น